วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

การสร้างความสุขเพื่อการอยู่ร่วมกันของมนุษย์


ความสุข วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ได้ให้ความหมายไว้ว่า คือความรู้สึกหรืออารมณ์ประเภทหนึ่ง ความสุขมีหลายระดับ ตั้งแต่ความสบายใจเล็กน้อยหรือความพอใจจนถึงความเพลิดเพลินหรือเต็มไปด้วยความสนุก แนวความคิดทางปรัชญา ศาสนา จิตวิทยา ชีววิทยาถูกนำมาใช้เพื่ออธิบายความหมายของความสุขรวมถึงสิ่งที่ทำให้เกิดความสุข ในแนวความคิดทางปรัชญาและศาสนามักจะกำหนดนิยามของความสุขในความหมายของการดำรงชีวิตที่ดี หรือชีวิตที่มีความเจริญ โดยไม่จำกัดความหมายของความสุขว่าเป็นเพียงอารมณ์ประเภทหนึ่ง
ความสุขเป็นหัวข้อที่พุทธศาสนิกชนให้ความสำคัญมาก เพราะความสุขเป็นสิ่งที่มนุษย์แสวงหาเพื่อให้ได้พบกับเสรีภาพและการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง การสอนของศาสนาพุทธใช้หลักธรรมที่เรียกกันว่ามรรค หรือหนทาง 8 ประการในการดับทุกข์เพื่อนิพพาน ความสุขสูงสุดสามารถมีได้ด้วยการเอาชนะตัณหาทุกรูปแบบ ส่วนการมีความสุขจากทรัพย์สินหรือความมั่นคงในชีวิตและการมีมิตรภาพที่ก็เป็นที่ยอมรับว่าเป็นเป้าหมายที่มีคุณค่าสำหรับบุคคลทั่วไป มรรค หรือหนทางถึงความดับทุกข์ นับเป็นหลักธรรมสำคัญอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา ประกอบด้วยหนทาง 8 ประการด้วยกัน เรียกว่า "มรรคมีองค์แปด" หรือ "มรรคแปด" (อัฏฐังคิกมรรค) ดังนี้
1.     สัมมาทิฐิ คือ ปัญญาเห็นชอบ หมายถึง เห็นถูกตามความเป็นจริงด้วยปัญญา
2.     สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ หมายถึง การใช้สมองความคิดพิจารณาแต่ในทางดีงาม
3.     สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ หมายถึง การพูดสนทนา แต่ในสิ่งที่สร้างสรรค์ดีงาม
4.     สัมมากัมมันตะ คือ การประพฤติดีงาม ทางกายหรือกิจกรรมทางกายทั้งปวง
5.     สัมมาอาชีวะ คือ การทำมาหากินอย่างสุจริตชน
6.     สัมมาวายามะ คือ ความอุตสาหะ พยายาม ประกอบความเพียรในการกุศลกรรม
7.     สัมมาสติ คือ การไม่ปล่อยให้เกิดความพลั้งเผลอ จิตเลื่อนลอย ดำรงอยู่ด้วยความรู้ตัวอยู่เป็นปกติ
8.     สัมมาสมาธิ คือ การฝึกจิตให้ตั้งมั่น สงบ สงัด จากกิเลส นิวรณ์อยู่เป็นปกติ
อริยมรรคมีองค์แปด เป็นทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) คือ ทางที่นำไปสู่การพ้นทุกข์ที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน อันนี้ในทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นความสุขที่แท้
มนุษย์ หรือ คน  สามารถนิยามได้ทั้งในทางชีววิทยา, ทางสังคม และทางเจตภาพ (spirituality) ในด้านพฤติกรรม ความเป็นมนุษย์นิยามด้วยการใช้ภาษา; การจัดโครงสร้างสังคมอันซับซ้อนในรูปของกลุ่ม, ชาติ, รัฐ และสถาบัน; และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ซับซ้อน ความแตกต่างทางพฤติกรรมเหล่านี้ของมนุษย์ก่อให้เกิดวัฒนธรรมนับหมื่นนับพันวัฒนธรรม ซึ่งยึดถือความเชื่อ, ตำนาน, พิธีกรรม, คุณค่าและ ปทัสฐานทางสังคมต่างๆ กันไป ความตระหนักถึงตนเอง, ความใคร่รู้ และการใคร่ครวญของมนุษย์ ตลอดจนความโดดเด่นกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ ก่อให้เกิดความพยายามที่จะอธิบายธรรมชาติและพัฒนาการของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ ทั้งในทางวัตถุธรรมและในทางนามธรรม คำอธิบายในทางนามธรรมนั้นจะเน้นมิติทางเจตภาพของชีวิต และอาจรวมถึงความเชื่อในพระเป็นเจ้า, เทพเจ้า หรือสิ่งเหนือธรรมชาติอื่น ๆ ตลอดจนแนวคิดเรื่องวิญญาณ ความพยายามที่จะสะท้อนภาพตัวเองของมนุษย์นั้นเป็นพื้นฐานของความคิดทางด้านปรัชญา และมีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคแรกๆ
การสร้างความสุขเพื่อการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ เป็นโจทย์ใหญ่มากในสังคมยุคปัจจุบัน เพราะมนุษย์มีธรรมชาติที่เน้นผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก หรือที่เรียกว่า เห็นแก่ตัว การมองสิ่งใดๆที่รู้สึกว่าถูกต้องสำหรับคนเหล่านี้จึงเป็นการกระทำที่มุ่งให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตัวเองเท่านั้น ถ้ามนุษย์สามารถเลือกที่จะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งได้ เขามักจะเลือกทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองมากที่สุด และถึงแม้การกระทำนั้นจะเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น นั่นก็เพราะเขาได้พิจารณา หรือคาดหวังแล้วว่า เขาจะได้รับผลประโยชน์จากการกระทำเหล่านั้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ไม่ว่าจะระยะสั้นหรือระยะยาว แต่ข้อหักล้างมันอยู่ที่ว่า ความพึงพอใจที่เป็นผลจากการกระทำ ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า การกระทำนั้นเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว ยกตัวอย่างเช่น
           ครั้งหนึ่งขณะที่ อับราฮัม ลินคอล์น นั่งรถข้ามสะพานไป เขาเห็นแม่หมูตัวหนึ่งส่งเสียงร้องอันดังด้วยความตระหนกอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ เมื่อเขามองไปก็เห็นลูกหมูตัวหนึ่งตกลงไปในน้ำและอาจจมน้ำตาย เขาตะโกนบอกคนขับรถให้หยุดรถ แล้วรีบวิ่งไปที่ริมตลิ่ง จัดการช่วยลูกหมูขึ้นจากน้ำแล้ววางไว้บนฝั่ง หลังจากนั้นเขาก็กลับขึ้นรถ คนที่ร่วมทางมาด้วยคนหนึ่งถามเขาว่า แล้วไหนล่ะความเห็นแก่ตัวในฉากนี้  ลินคอล์นตอบว่า นั่นล่ะแก่นแท้ของความเห็นแก่ตัว เพราะถ้าฉันผ่านไปเฉยๆโดยไม่ได้ช่วยลูกหมูตัวนั้น ฉันอาจกังวลใจและหาความสงบไม่ได้ทั้งวันหากฉันคิดถึงลูกหมูตัวนั้นที่ฉันไม่ได้ช่วยมันไว้ เห็นไหม ฉันช่วยลูกหมูก็เพื่อทำให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้น"
หากมนุษย์ยังมีความเป็นตัวตนอยู่อย่างนี้ เราจะนำความสุขในความหมายของพุทธศาสนานำมาทำให้มนุษย์ที่มีพื้นฐานความเห็นแก่ตัวมีความสุขได้อย่างไร เราจะสร้างความสุขให้เกิดขึ้นเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขของมนุษย์ได้อย่างไร มีคำตอบอยู่ในประเทศเล็กในหุบเขาหิมาลัยที่มักถูกจัดอันดับเป็นประเทศ ยากจน ประเทศหนึ่งในโลก ได้มีแนวคิดที่เรียกว่า ความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness, GNH)อันมีพระราชาธิบดีองค์ที่สี่ของประเทศภูฐาน ทรงเป็นผู้ริเริ่มแนวคิด พระองค์ทรงกล่าวว่า ความสุขมวลรวมประชาชาติสำคัญกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เป็นการมองการพัฒนาประเทศที่ไม่ได้เน้นตัวเลขในการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Gross Domestic Product, GDP)  แต่เน้นมุมมองเรื่อง ความสุขที่แท้จริงของสังคมเป็นหลัก  ปัจจุบันแนวคิด GNH  กำลังได้รับความสนใจจากนักวิชาการและนักกิจกรรมทางสังคมในหลายๆ ประเทศ  เนื่องจากเล็งเห็นว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่มี GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) เป็นเกณฑ์นั้นมักนำมาซึ่งผลกระทบในทางลบมากขึ้นทุกที   ความคิด GNH นั้นคำนึงถึงความเป็นองค์รวมด้วยการพิจารณามิติทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับมิติอื่นๆได้แก่ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และการปกครองที่ดี  โดยมีหลัก  4 ประการดังนี้ 
1. การพัฒนาเศรษฐกิจสังคมอย่างยั่งยืนและเสมอภาค ตามแนว "ทางสายกลาง" ไม่เร่งพัฒนาทางเศรษฐกิจด้วยทุนทางนิเวศและสังคมในระยะสั้น  หากจัดสมดุลระหว่างตัวเลข พฤติกรรมการบริโภคและคุณค่าด้านจิตใจไปพร้อมๆ กัน  เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นไปอย่างยั่งยืนและเสมอภาค บนพื้นฐานของสังคมที่เคารพประชาชนและวัฒนธรรมของตนเอง 
2.การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ให้หลักประกันที่ว่า การพัฒนาใดๆ ไม่ว่าจะมาจากรัฐบาล หรือภาคเอกชน หรือประเพณีท้องถิ่น หรือจากปัจเจกบุคคล จะต้องไม่ทำลายความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ด้วยตระหนักว่าทรัพยากรธรรมชาติอาจหมดลงได้ในวันหนึ่ง เราทุกคนจำเป็นจะต้องบำรุงเลี้ยงและปกป้องโลกในฐานะ บ้านของเราทุกคน” 
3.การรักษาและส่งเสริมคุณค่าทางวัฒนธรรม เป็นสิ่งสำคัญยิ่งในยุคปัจจุบัน เพราะคุณค่าของมนุษย์ เช่น ความเมตตากรุณา ความมีน้ำใจ ความอ่อนโยน ความเสียสละ ความอ่อนน้อมถ่อมตน การรู้จักให้อภัย การรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเอง เป็นต้น กำลังถูกกัดกร่อนจากโลภจริตหรือความโลภ อันเนื่องมาจากลัทธิบริโภคนิยมที่กำลังครอบงำโลกในขณะนี้ อันที่จริงแล้วคุณค่ามนุษย์ดังกล่าว เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้สังคมมีความหมาย มีความเอื้ออาทรต่อกัน และทำให้สังคมสามารถดำรงอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ 
4.การส่งเสริมการปกครองที่ดี หรือ "ธรรมาภิบาล" (Good Governance) เป็นเงื่อนไขสำคัญเช่นกันในการนำพาประชาชนไปสู่ "ความสุขมวลรวมประชาชาติ" ประเทศทั้งหลายในโลกจะโดยเต็มใจหรือไม่ก็ตาม กำลังถูกแรงกดดันทั้งจากประชาชนท้องถิ่นและชุมชนระหว่างประเทศ ให้เข้าสู่การปกครองแบบประชาธิปไตยหรือ "ธรรมาภิบาล" (การปกครองที่ดี)
อย่างไรก็ดีประเทศภูฐานก็กำลังประสบกับความท้าทายจากกระแสโลกาภิวัตน์  และอิทธิพลของสื่อทีวี สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น อินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะกับกลุ่มวัยรุ่นที่นิยมเลียนแบบการแต่งกายหันมาสนใจเสื้อผ้าทันสมัย เช่น การนุ่งกางเกงยีนส์แทนชุดแต่งกายประจำชาติ  และเมืองทิมภู ก็เริ่มมีทิศทางการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นทุกปี  ทำให้มีการอพยพเข้ามาของคนจากภาคชนบทสู่เมืองหลวงมากขึ้นเรื่อยๆ  การทำลายทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้นตามมาเหมือนเมืองใหญ่โดยทั่วๆไป แต่เป็นที่น่ายินดีว่าแนวคิดเรื่อง  GDP ได้ก่อให้เกิดการทบทวนทิศทางการพัฒนาประเทศและสังคมในหลายๆประเทศ รวมทั้งการใช้ชีวิตของมนุษย์ การนำเสนอวิธีคิดอย่างนี้ส่งผลต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน ระบบเศรษฐกิจในแนวคิด GDP มีพื้นฐานของของการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติแบบที่มนุษย์ไม่ใช่ผู้ควบคุมธรรมชาติ การอยู่ร่วมกันของคนในสังคมแบบเอื้อเฟื้อแบ่งปัน ไม่ใช่การแข่งขัน และเป็นการสร้างความสุขเพื่อการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ อย่างแท้จริง    

อ้างอิง :

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

การมองทะลุแก่นแท้ของมนุษย์!!!


ขงจื๊อ เป็นนักคิดคนสำคัญยิ่งของโลก เป็นทั้งนักการศึกษา นักรัฐศาสตร์ นักปรัชญา และที่สำคัญคือเป็นผู้ที่ทรงอิทธิพล ทางความคิด มากที่สุด ในแผ่นดินจีน คำสั่งสอนของขงจื๊อเป็นรากฐานทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรมของทั้งจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีมาจนถึงปัจจุบัน 

แนวคิดของขงจื๊อไม่เพียงแต่เน้น ให้คนมีคุณธรรม แต่ยังเป็นแนวทางนำไปสู่ความมีอัจฉริยะภาพ คือทำให้รู้ว่าในเวลาหนึ่ง คนเราควร จะคิดอะไร วางตัวอย่างไร คบเพื่อนแบบไหน เพื่อทำให้เราใช้ศักยภาพและเวลาที่มีจำกัด ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง มากที่สุดแก่น คำสอนของขงจื๊อสรุปได้เป็น 7 หัวข้อ ดังนี้ 


1. บุคลิกภาพของมนุษย์ที่แท้ 
มนุษย์ ที่สมบูรณ์แบบของขงจื๊อ คือคนมีบุคลิกโดดเด่นเหนือคนทั่วไป มีพลังดึงดูด โน้มน้าวใจคน และมีคุณธรรมเที่ยงตรง ทำให้มีอำนาจเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป คุณลักษณะ 7 ประการที่จะช่วยให้มนุษย์มีพลังอำนาจตามวิธีคิดของขงจื๊อ คือ
·    นอบน้อม เพราะคนนอบน้อมจะไปทำอะไร ที่ไหน ย่อมไม่เป็นที่เกลียดชังของคนทั่วไป
·    เมตตากรุณา เพราะคนมีเมตตากรุณา มักจะมี positive aura บนใบหน้าที่ทำให้สามารถเอาชนะใจคนได้โดยง่าย
·    จริงใจ เพราะจะส่งผลให้มีบุคลิกซึ่งเป็นที่ไว้วางใจของผู้อยู่เหนือ กว่า ผู้ใต้บังคับบัญชา และบุคคลทั่วไป
·    จริงจัง เพราะย่อมทำทุกสิ่งทุกอย่างลุล่วงลงได้
·    ใจคอกว้างขวาง เพราะย่อมใช้ให้คนทำงานแทนได้ และสามารถเป็นผู้นำที่ดีได้
·    ไม่ กินอิ่มเกินไป ไม่แสวงหาความสะดวกสบายจนเกินไป เพราะจะทำให้กลายเป็นคนเกียจคร้าน ไม่แสวงหาหนทางปรับปรุงชีวิต พัฒนาตนเองในขณะที่ยังมีกำลังวังชา และสติปัญญาสมบูรณ์
·    มีอารมณ์มั่นคง ไม่หวั่นไหวง่าย ถ้ากล่าวแบบคนสมัยใหม่ ก็คือการมี EQ สูง

2. วิธีคิดของผู้มีปัญญา 
คน เราเกิดมา มีปัญญาสูงต่ำไม่เท่ากัน มีโอกาสในการศึกษาไม่เท่ากัน แต่ขงจื๊อเห็นว่าในชีวิตประจำวันคนเราสามารถค่อย ๆ สร้างสม พัฒนาสติปัญญาให้ได้ด้วยตนเอง โดยการเปลี่ยนปรับวิธีคิดเสียใหม่ เลิกคิดปรุงแต่ง และคิดถึงเรื่องไร้สาระ และหันมาพิจารณาเฉพาะเรื่อง ที่เป็นประโยชน์แทน ดังนี้
·    มนุษย์ที่แท้ จะต้องพิจารณาอยู่เสมอว่า ทำอย่างไร เราจึงจะมองอะไรแล้วสามารถจะเห็นและเข้าใจสิ่งนั้นทะลุปรุโปร่ง และเมื่อได้ยินอะไรแล้ว ทำอย่างไรเราจึงจะฟังให้เข้าใจได้หมดซึ่งก็คือ การใช้สมาธิตั้งใจดู ตั้งใจฟัง นั่นเอง ปัญหาของจำนวนมาก คือ ดู เห็น ฟัง แล้วเข้าใจไม่หมด ตีความผิด ตีความเข้าตนเอง เอาตนเองเป็นที่ตั้งอยู่ตลอด ถ้าแก้ไขจุดนี้ได้ เราก็จะมีฐานข้อมูล ที่ถูกต้องแม่นยำ ซึ่งต้องใช้ประกอบการคิด การตัดสินใจต่อไป
·    อย่า คิดกังวลว่า ใครจะยอมรับยกย่องเราหรือไม่ แต่ให้เป็นกังวลมาก ๆ ว่า ขณะนี้เรายังขาดคุณสมบัติข้อใด ที่ทำให้ยังไม่เป็นที่ยกย่อง ของผู้คน และอย่าเป็นกังวลว่า คนอื่นจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของเรา แต่ให้กังวลว่า ตัวเราจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของคนอื่นดีกว่าจุดนี้คือ ขงจื๊อต้องการให้คนเราเน้น การพิจารณา เข้าใจ และปรับปรุงตนเอง ในขณะที่แนวโน้มของคนโดยทั่วไปจะชอบ "ส่องนอก ไม่ส่องใน" และใช้เวลาไปกับการจับผิด วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นเสียมาก
·    เวลา เห็นช่องทางได้ผลประโยชน์ ต้องคิดถึง ความยุติธรรม ด้วยขงจื๊อเห็นว่า มนุษย์เรามีแนวโน้มจะคิดแบบเห็นแก่ได้ และตัดสินใจ ผิดพลาด เมื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น เพื่อจะไม่ทำผิดคุณธรรม คนเราต้องพิจารณาเรื่อง ความยุติธรรมอยู่เสมอ ๆ ความยุติธรรมที่ให้พิจารณาก็คือ หลักการง่าย ๆ ถ้าเราไม่ชอบอะไร รังเกียจอะไร ก็จงอย่าทำกับคนอื่นแบบนั้น คิดได้แค่นี้
·    นอก จากนี้ ขงจื๊อยังให้ข้อเตือนใจไว้ว่า เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องหัดคิดคิดการณ์ไกล เพื่อจะได้ไม่ต้องหลงทางนอกจากนี้ เวลาร่ำเรียนศึกษา ก็ต้องหัดคิดตาม เพราะคนที่ศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ โดยไม่คิด ย่อมไม่ฉลาดมากนัก ในทางตรงกันข้าม คนที่เอาแต่oคิดวิเคราะห์สิ่งต่างๆ โดยไม่ชอบศึกษาหาข้อมูล ก็จะเป็นเพียงการคาดเดาหรือ speculation ย่อมจะคิดผิดพลาดได้ง่าย ๆ ดังนั้น คนเราต้องหัดฝึกฝน การคิดและการศึกษาหาข้อมูลไปพร้อม ๆ กัน

 
3. ระเบียบวินัย 
ขงจื๊อกล่าวถึงระเบียบวินัย 3 ประการ ของคนวัยต่าง ๆ กัน
·    วัยหนุ่มสาว พลังยังไม่มั่นคง ต้องมีวินัยเรื่องกามคุณ
·    วัยกลางคน พลังกายใจเข้มแข็งมากที่สุด ต้องมีวินัยเรื่องความพึงพอใจ อย่างเพิ่งเฉยชาหรือพอใจกับอะไรง่าย ๆ
·    วัยชรา หมดเรี่ยวแรง พลังงานลดถอย ต้องมีวินัยกับความโลภ คืออย่ามีความต้องการมากมายไม่มีที่สิ้นสุด

4. การคบคน 
ขงจื๊อ เชื่อว่า ชีวิตคนเรา จะสุข ทุกข์ ประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคนที่เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องคบหาด้วย ดังนั้น ขงจื๊อจึงมีกฎในการเลือกคบคน ดังนี้
·    ข้อแรก ไม่คบหาคนที่มีคุณงามความดีไม่เท่าเรา
·    ข้อสอง ไม่แสวงความเห็น หรือปรึกษาหารือคนที่มีเส้นทางชีวิตไม่เหมือนเรา
·    ข้อสาม คนที่ควรคบหา คือ คนที่มีความซื่อตรง จริงใจ และมีความรู้
·    ข้อสี่ พึงเลี่ยงคบหาบุคคลที่เสแสร้ง พูดจาไร้สาระ ฉวยโอกาส ฟุ้งเฟ้อ
·    ข้อห้า เมื่อคบหาใครเป็นเพื่อนแล้ว จงมีความจริงใจต่อกัน แต่อย่าปล่อยให้เขาชักนำเราไปในทางที่ต่ำ

5. การพูด 
คำ พูดของเราต้องแสดงออกถึงความซื่อตรง สอดคล้องกับกริยาทางกาย เพราะถ้าหากคำพูดเราเกิดพร้อมกับกริยามุ่งมั่นจริงใจ พูดสิ่งใดก็ย่อมประสบผลเป็นที่น่าเชื่อถือ 


6. การวางตัว 
คนเราจะมีคนรักทั่วทิศ หากวางตัวได้ดังนี้
·    เวลาอยู่นอกบ้านแล้วพบผู้คน วางตัวราวกับคนผู้นั้นเป็นแขกสำคัญในบ้าน
·    เมื่อ ต้องสั่งการ วางตัวราวกับเราเป็นแม่งานของพิธีการที่สำคัญยิ่งใหญ่ (คนที่เป็นแม่งานจะต้องเห็นภาพงานทุกอย่าง ตั้งแต่ต้นจนจบ อย่างรอบด้าน และมีจิตมุ่งมั่นต้องการทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ในระยะเวลาที่ตั้งใจเอาไว้ เพราะฉะนั้นเวลาคนเป็นแม่งานสั่งงาน จะไม่สักแต่ว่าขอให้ใครทำอะไร แต่จะคิดอย่างรอบคอบถึงผลที่ตามมา จะไม่สั่งการแบบขอไปที แต่จะต้องมีการติดตามผล แนะนำเพื่อให้งานลุล่วงไปได้)
·    อะไรที่เราไม่ชอบ ก็อย่าปฏิบัติต่อคนอื่น
·    เข้มงวดต่อตนเอง แต่ให้อภัยคนอื่น

7. การวางจิต 
ขงจื๊อ เน้นการมีจิตใจที่ซื่อตรง เขาเห็นว่า ประเทศชาติจะสงบสุขได้ครอบครัวต้องดีก่อน แต่ครอบครัวจะดีได้ มนุษย์แต่ละคนต้องมี คุณธรรมมนุษย์แต่ละคนจะมีคุณธรรม ก็ต้องมีจิตใจที่ซื่อตรงและจิตใจที่ซื่อตรง จะมีได้ก็ต้องมีเจตนาที่ซื่อตรงก่อน ขงจื๊อเน้นจิตที่สามารถมองอะไรชัดเจน ทะลุปรุโปร่ง จิตเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็จากการมองเห็นและรู้จักตนเองอย่างรอบด้านก่อน

ที่มา: ขอบคุณบทความจาก novabizz