๑. ขอทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า
สิ่งที่เรียกว่า “หลักสูตร”
นั้นประกอบด้วย (๑)โครงสร้าง (๒) เป้าหมายหรือผลลัพธ์การเรียนรู้ (๓)
เนื้อหา (๔) กิจกรรม และ (๕) การวัดและประเมินผล แต่ถ้าพูดกันสั้นๆ
มีความเข้าใจกันว่า “หลักสูตร”
คือสิ่งที่สะท้อนว่าผู้เรียนจะได้ผลลัพธ์อะไรเมื่อเรียนจบหลักสูตร
ทั้งในแง่ของเนื้อหาวิชาและทักษะที่เกี่ยวข้อง
ด้วยเหตุนั้นเอง
การเขียนหลักสูตรในสมัยหลังๆนี้จะไม่นิยมเขียน เนื้อหาที่จะเรียน (What to Be Taught) ในรายวิชา
แต่จะนิยมเขียนเป็น “ผลลัพธ์การเรียนรู้” (What is Learned หรือ
Learning Outcomes)
๒. ในการพัฒนาหลักสูตจึงต้องมีข้อตกลงกันให้ชัดเจนก่อนว่าจะให้ผู้เรียนเรียนรู้อะไร
ทั้งในด้านองค์ความรู้และทักษะด้านต่างๆ และในการพิจารณาว่าผู้เรียนควรจะได้เรียนรู้อะไร
นี้เอง
ทำให้ผู้พัฒนาหลักสูตรต้องหันมาพิจารณาถึงบริบทต่างๆในสังคมทั้งในปัจจุบันและแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ในสถานการณ์ที่บริบททางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง
วัฒนธรรมและระบบนิเวศมีอัตราการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและซับซ้อน
การพิจารณาในประเด็นเหล่านี้เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาในการพัฒนาหลักสูตร
ยิ่งมีความยากและสลับซับซ้อนมากขึ้น ด้วยเหตุดังนั้น หน่วยงานที่รับผิดชอบในการพัฒนาหลักสูตรจึงต้องมีความรู้และความเข้ใจในบริบทด้านต่างๆที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วย
กล่าวโดยสรุปก็คือนักพัฒนาหลักสูตร มีความจำเป็นต้องเช้าใจบริบททางสังคม การเมือง
วัฒนธรรมและระบบนิเวศที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เพื่อกำหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตและการทำการงานอาชีพ
อย่างไรก็ตามประเด็นเรื่องการทำความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงของบริบทด้านต่างๆและความเชื่อมโยงของระบบต่างๆในสังคมตั้งแต่ระดับพื้นที่
ระดับชาติและระดับสากล เป็นเรื่องทีค่อนข้างยาก
แต่ถ้านักพัฒนาหลักสูตรไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจนและทันกาล
การพัฒนาหลักสูตรก็จะไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในสังคม
๓.
ในยุคปัจจุบันนี้มีแนวโน้มอะไรบ้างที่บ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงในบริบทด้านต่างๆ
ถ้าเราพิจารณาอย่างรอบคอบจะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของบริบทด้านต่างๆเกิดขึ้นอย่าง รวดเร็วตลอดเวลา เช่น การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ
ที่เราเรียกว่า Climate Change ซึ่งก่อให้เกิดภาวะผันผวนต่างๆมากมาย
เช่น แผ่นดินไหวบ่อยขึ้น ในพื้นที่ต่างๆทั่วโลก น้ำท่วมมากขึ้นและบ่อยขึ้น การเกิดคลื่นยักษ์ที่เรียกว่าสึนามิ
การเกิดพายุชนิดร้ายแรง เป็นต้น นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงด้านระบบการเงินและเศรษฐกิจทั้งของโลกและของประเทศต่างๆที่มีความผันผวนอย่างมาก
จนอาจจะก่อให้เกดปัญหากระทบต่อกันทั่วโลก การเกิดขึ้นของความขัดแย้งทางการเมืองโดยเฉพาะในอัฟริกาและตะวันออกกลางที่เรียนกว่า
Arab Spring ก็ส่งผลกระทบต่อการเมืองระดับโลกและระดับอื่นๆมาก
เป็นต้น แม้แต่ในประเทศไทยของเราเอง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เช่น
การเกิดภาวะน้ำท่วมใหญ่ในสามเดือนที่ผ่านมาและมีทีท่าว่าจะเกิดซ้ำอีกในปีนี้หรือในอนาคต
การเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจจากการเน้นการอุตสาหกรรมส่งออกและการบริการแบบเดิมๆมาเป็นการพัฒนาระบบเศรษฐกิจแบบที่เรียกว่า
Creative Economy ซึ่งปรากฏในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่
๑๑ อย่างชัดเจน การแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศมีมากขึ้น และอีกสามปีข้างหน้า
ประเทศของเราจะเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียนซึ่งมีทั้งมิติความมั่นคง (ASEAN
Security Community)มิติเศรษฐกิจ (ASEAN Economic Community)
และมิติด้านสังคมและวัฒนธรรม (ASEAN Socio-Cultural
Community) เป็นต้น
ในด้านการเมืองของเรานอกจากมีความขัดแย้งกันในแนวความคิดและการเคลื่อนไหวให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ
๒๕๕๐ หรือข้อเสนอให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายมาตรา ๑๑๒ ว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์
เป็นต้น นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงด้านสังคมก็มีผลต่อการพัฒนาหลักสูตรมาก เช่น
การเปลี่ยนแปลงด้านประชากรของประเทศ ซึ่งในปัจจุบันนี้
ประเทศไทยมีประชาการทั้งหมดประมาณ ๖๗ ล้านคน
แต่ในขณะเดียวกันก็มีประชากรที่เรียกว่า “ผู้สูงอายุ” คือประชาการที่มีอายุเกิน ๖๐
ปีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งในปัจจุบันนี้มีประมาณ ๙ ล้านคนแล้ว
มองในแง่อัตราการเกิดของทารก ก็พบว่าในแต่ละปีมีทารกเกิดใหม่ปีละประมาณ ๗ แสนคน
ยิ่งถ้าเรานำเอาตัวเลขเหล่านี้มาเชื่อมโยงกับการจัดการศึกษาและการจัดสวัสดิการสังคม
เราจะเห็นความซับซ้อนต่างๆเพิ่มขึ้นอีกมาก ที่กล่าวมานี้ยังมิได้พูดถึงปัญหาอัตราการหย่าร้างของครอบครัวไทยซึ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ
๕๐ แล้ว และจำนวนครอบครัวที่เรียกว่า Single Parent
ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ล้วนแล้วแต่จะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายกรเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งสิ้น
และในฐานะนักพัฒนาหลักสูตร
เราไม่มีทางปฏิเสธการรับรู้และเรียนรู้ในสิ่งเหล่านี้ได้เลย
๔. ที่กล่าวมาอย่างคร่าวๆนี้
ก็ชวนให้ตั้งคำถามว่า นักศึกษาที่เรียนอยู่ในหลักสูตร “หลักสูตรและการสอน”
ระดับปริญญาโทหรือปริญญาเอก ได้มีการเรียนการสอนหรือการสัมมนาในประเด็นเหล่านี้หรือไม่
มากน้อยเพียงไร ต้องไม่ลืมว่า การเรียนวิชาการพัฒนาหลักสูตรมิใช่การเรียนเพียงด้านเทคนิควิธีการพัฒนาหลักสูตร
แต่การพัฒนาหลักสูตรเป็นเรื่องของวิธีคิดที่ทันสมัย
ถ้าในโปรแกรมที่เรียนไม่มีรายวิชาหรือเนื้อหาในเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง สังคม
วัฒนธรรมและระบบนิเวศก็ยากที่จะสร้างนักพัฒนาหลักสูตรที่ดีและมีความรู้เพียงพอได้
เพราะเริ่มต้นก็ไม่สามารถกำหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในสังคมได้เสียแล้ว
การกำหนดเนื้อหาในรายวิชายิ่งไม่ต้องพูดถึง คิดว่าประเด็นนี้ผู้ที่รับผิดชอบโปรแกรมนี้ต้องดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงให้ได้ต่อไป
๕. พิจารณาเพียงเรื่องเดียว เช่น
เรื่องการจัดหลักสูตรเพื่อการเตรียมการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียนในปี
๒๕๕๘ การจัดการศึกษาในทุกระดับของเรา จะจัดหลักสูตรการเรียนการสอนอย่างไร
เพราะเรื่องการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ นั้น
เรามักได้ยินกันเพียงมิติเดียวคือ ASEAN Economic Community --AEC) หรือประชาคมอาเซียนด้านเศรษฐกิจ
แต่เราไม่ค่อยได้ยินการพูดถีง ASEAN Security Community—ASC หรือ
การพูดถึง ASEAN Socio-Cultural Community---ASCC เอาเลย
และที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ การเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียน
มิได้มีนัยเพียงว่าเราจะเตรียมคนของเราให้เก่งเท่ากับคนของสมาชิกอาเซียนอื่นๆดังที่พูดกัน
แต่นัยที่สำคัญกว่าคือ การเตรียมคนของเราให้บูรณาการเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับประชาคมอาเซียนเพื่อทำให้ประชาคมอาเซียนแข็งแกร่งพอที่จะไปต่อสู้หรือแข่งขันกับประเทศมหาอำนาจหรือประเทศใหญ่ๆ
เช่น จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีหรือ ประชาคมยุโรปได้ในด้านต่างๆ เพราะฉะนั้น
การเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียน เราจะจัดการศึกษาอย่างไรให้ประชนในประเทศสมาชิกมีความรู้ความเข้าใจในประวัติศาสตร์
ภาษา วัฒนธรรม ศาสนา และ ฯลฯ ของประเทศอื่นและอยู่ร่วมกันแบบUnity in
Diversity กล่าวคือ เคารพในความแตกต่างหลากหลายได้ เป็นต้น
คิดว่าในประเด็นเหล่านี้การพัฒนาหลักสูตรการศึกษาในระดับต่างๆ
เช่น การศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาระดับอุดมศึกษาหรือการจัดการศึกษานอกระบบ
เราจะพัฒนาหลักสูตรเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร น่าจะได้ให้นักศึกษาลองปฏิบัติดู
จะได้ประโยชน์มากทีเดียว
๖. หรือถ้าเราจะพัฒนาหลักสูตรเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาสังคมในประเทศไทย
ไม่ว่าจะเป็นปัญหายาเสพติด ปัญหาเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย
ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ปัญหาผู้สูงอายุ ปัญหาการหย่าร้าง ปัญหาความอ่อนแอของระบบครอบครัว
ฯลฯ ในฐานะนักศึกษาที่เรียนด้านการพัฒนาหลักสูตร เรามีความรู้ความเข้าใจในประเด็นเหล่านี้มากน้อยเพียงใด
เราเข้าใจถึงสาเหตุของปัญหาเหล่านี้มากน้อยเพียงใด
เรามองเห็นความซับซ้อนของปัญหาแต่ละอย่างได้ชัดเจนหรือไม่เพียงใด
การตอบคำถามเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมาและอย่างซื่อสัตย์ต่อตนเอง
จะนำไปสู่ประเด็นการวิจัย
เพื่อจะทำให้เรามีความเข้าใจในรากเหง้าของปัญหาเหล่านี้และเห็นถึงความเชื่อมโยงสัมพันธ์ของระบบต่างๆได้ชัดเจน
ขึ้น
๗. อย่างไรก็ตามถ้าความรู้ความเข้าใจและความสามารถในด้านการวิจัยของนักศึกษามีแค่หางอึ่ง
ก็ย่อมไม่สามารถทำงานวิจัยที่มีโจทย์การวิจัยที่ซับซ้อนเหล่านี้ได้
และเมื่อไม่สามารถมลทำงานวิจัยกับโจทย์การวิจัยที่ซับซ้อนได้
ประเด็นก็หวนกลับมาที่เดิม คือ เราไม่มีความรู้ความเข้าใจอย่างดีพอในการกำหนดเป้าหมายของหลักสูตรที่เราจะพัฒนา
ไปๆมาๆ การเรียนสาชาวิชาหลักสูตรและวิธีสอนก็เรียนกันไป
โดยไม่รู้ว่าเป้าประสงค์หลักของโปรแกรมนี้อยู่ที่ไหน
นอกจากเรียนให้จบๆกันไปเพื่อได้ปริญญาไว้ประดับบารมี (ปลอมๆ) อันที่จริงแล้ว มีโจทย์การวิจัยที่สำคัญและน่าสนใจมากมาย
ที่ทำวิจัยแล้วสามารถนำผลการวิจัยมาใช้ประโยชน์ในทางปฏิบัติได้มาก เช่น
เรื่องการออกกลางคันของนักเรียนขั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ซึ่งมีเป็นเรือนแสนในแต่ละปี
หรือ ปัญหาเรื่องคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กซึ่งมีเป็นหมื่นโรง
หรือ ประเด็นเรื่องการเรียนภาษาต่างประเทศของนักเรียนไทย
หรือประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาด้านอาชีวศึกษา เป็นต้น
ทั้งนี้โดยไม่ต้องเอ่ยถึงปัญหาการศึกษาในระดับอุดมศึกษาซึ่งมีมากมาย
ตั้งแต่เรื่องคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาโดยเฉพาะการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาที่จัดการเรียนการสอนนอกเวลาราชการและที่จัดการเรียนการสอนนอกสถานที่ตั้ง
เป็นต้น ประเด็นเหล่านี้หากมีการทำวิจัยอย่างถูกต้องใช้วิธีวิทยาการวิจัยที่ซับซ้อนเพียงพอ
ก็สามารถนำผลการวิจัยมาใช้ได้มาก
๘. สรุป
กล่าวโดยสรุปก็คือ การพัฒนาตนเพื่อให้เป็นนักพัฒนาหลักสูตรที่ดี
จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในบริบทต่างๆโดยเฉพาะกระแสการเปลี่ยนแปลงของบริบทเหล่านั้น
ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม การเมืองและระบบนิเวศ และในขณะเดียวกันถ้าเรามีความสามารถในการวิจัยด้วยก็ยิ่งจะมีประโยชน์มากขึ้น
แต่ถ้าเราไม่มีความรู้ความสามารถในด้านการวิจัยมากพอที่จะเป็นนักวิจัยด้วยตนเอง
การพัฒนาตนให้เป็นผู้บริโภคผลงานวิจัยของผู้อื่นก็มีความสำคัญและมีความจำเป็นมากสำหรับผู้ที่จะพัฒนาหลักสูตร
(แนวการบรรยายให้นักศึกษาระดับปริญญาเอก
สาขาวิชาหลักสูตรและวิธีสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วันที่ ๑๑ก.พ. ๒๕๕๕
เวลา ๑๓.๐๐-๑๖.๐๐ น.)
อุทัย ดุลยเกษม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น